เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๖ มิ.ย. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ธรรมะคือสัจธรรม สัจธรรมมีอยู่โดยดั้งเดิม แต่มันมีของมันอยู่อย่างนั้น ไม่มีผู้รื้อค้นขึ้นมาจะไม่มีผู้รู้จริงไง สัจจะก็คือสัจจะ แต่ผู้รู้สัจจะ ผู้รู้สัจจะ หัวใจอันนั้น หัวใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้รื้อค้นขึ้นมา พอรู้สัจจะท่านวางสัจจะนั้นไว้ถึงเหนือสัจจะนั้น สัจจะนั้นคือผลของวัฏฏะ การเวียนว่ายตายเกิดผลของวัฏฏะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาศึกษาเข้าใจความเป็นไปของวัฏฏะแล้ววางวัฏฏะไว้ ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพ้นจากวัฏฏะไป

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะออกบวช สามเณรราหุลเกิดแล้วละล้าละลัง ละล้าละลังด้วยความผูกพัน ความผูกพันของโลก แรงดึงดูดของโลก แรงโน้มถ่วงของโลกมันดึงดูดทุกอย่างเข้าสู่โลกนี้ไง ฉะนั้น เราบอกว่าสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง เราปล่อยวางได้สักแต่ว่าๆ แต่แรงดึงดูดมันยังมีของมันอยู่

นี่ก็เหมือนกัน เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษาขนาดไหน เราศึกษาไง เราศึกษาแต่แรงดึงดูดกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรายังเต็มหัวใจไง ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา มันดับเป็นธรรมดานะ สิ่งมันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เวลามันเกิดขึ้น เกิดขึ้นมันสะเทือนนะ

ดูสิ ต้นไม้สิ่งที่มีชีวิตมันก็แย่งชิงกันเพื่อแสงแดดเพื่ออาหารของมัน มันตั้งอยู่ ตั้งอยู่มันก็แย่งชิงกัน ถ้าใครแข็งแรงกว่ามันจะคลุมต้นที่อ่อนกว่า ต้นที่อ่อนกว่าต้องแคระแกรนหรือตายไป สิ่งที่มีชีวิต เราเกิดขึ้นมา เราเกิดขึ้นมา เราเกิดมาความสะเทือนขึ้นมา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ขณะที่มีอยู่มันสะเทือนหัวใจขนาดไหน มันแปรปรวนขนาดไหน เวลามันจะพลัดพรากจากไปมันเศร้าเสียใจมาก

ดูสิ เวลาพายุ สิ่งที่เป็นอากาศมันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นถ้ามันมันสมดุลของมันมันก็ให้ความชุ่มชื้น ถ้ามันรุนแรงขึ้นไปมันกวาดไปหมด มันกวาดหมดเกิดขึ้น เวลาขณะที่มันตั้งอยู่ มันตั้งอยู่มันทำลายใครบ้าง มันทำลายใครบ้าง มันได้ทำให้สิ่งใดสะเทือนหัวใจบ้าง มันทำลายใครบ้าง มันได้ทำให้สิ่งใดสะเทือนหัวใจบ้าง แล้วมันก็ต้องจากไป มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป แต่มันสะเทือนนะขณะที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษาอย่างนี้มา ศึกษาความเข้าใจมา ความเกิดขึ้น เกิดขึ้นผลของวัฏฏะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาตั้งแต่พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย การเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปด้วยความมืดบอด ทั้งๆ ที่ทำคุณงามความดี ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านสร้างแต่คุณงามความดีทั้งนั้นแหละ คุณงามความดีท่านสร้างขึ้นมาเพื่อให้หัวใจที่มันเข้มแข็ง หัวใจที่มันมีอำนาจวาสนาไง ดูสิ พละ ๕ มีศรัทธาพละ มีปัญญา มีศรัทธา มีสติ มีปัญญา มันมีกำลังของมันไง

ถ้ามีกำลังก็ว่าทำคุณงามความดี ความดีอันนั้น ความดีที่สร้างมานั่นน่ะ ดูสิ เวลาโลกเกิดขึ้นมา มนุษย์เหมือนกัน คนเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันเพราะหัวใจอันนั้นไง หัวใจที่ประเสริฐ หัวใจที่มีคุณภาพ หัวใจสิ่งนั้นดำรงชีวิตของเขา เขามีหลักมีเกณฑ์ของเขา แต่หัวใจเราที่อ่อนแอ อ่อนแอล้มลุกคลุกคลานไปตลอด ล้มลุกคลุกคลานไปเพราะความทุกข์ๆ เกิดขึ้น เวลาตั้งอยู่ ตั้งอยู่มันสะเทือนหัวใจของใคร เรามาศึกษานะ ศึกษาแล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติของเรา ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเตือนสติเราไง

เราเกิดมาเป็นคนเหมือนกัน สิทธิเสรีภาพเท่ากัน ความเท่ากันเพราะมีหัวใจเหมือนกัน หัวใจนี้มันฝึกฝนได้ ฝึกฝนเพื่อคุณงามความดีของเราไง ถ้าคุณงามความดี คุณงามความดีทางโลกดูสิ ผู้ที่มีอำนาจวาสนาบารมี เขามีอำนาจวาสนาบารมีเพราะอะไร เพราะเขาเป็นผู้เสียสละ เขาเป็นผู้นำ เขาเป็นผู้ควบคุมดูแล เขาถึงมีบารมีเพราะคนเชื่อถือศรัทธาเขา บารมีมันเกิดขึ้น เกิดขึ้นเพราะการกระทำของเขา เราไม่ได้ทำสิ่งใดเลยนะ มึงรู้จักชื่อพ่อกูไหม มึงรู้ว่ากูลูกใครไหม มันไปเรียกร้อง มึงลูกใครก็เรื่องของมึง แต่มึงได้ทำอะไรบ้าง

ไปเรียกร้อง มึงรู้จักกูไหมกูลูกใคร มึงยังไม่รู้จักเลย กูไปรู้จักมึงได้อย่างไร แต่ถ้าคนเขาทำคุณงามความดีของเขาเขาไม่ต้องเรียกร้องใคร จิตใจเรายอมรับไง การยอมรับอย่างนั้น การยอมรับอย่างนั้น เขาทำคุณงามความดีของเขา เราจะสร้างคุณงามความดีของเรา เรามีสติ มีปัญญาพอนะ เรามีสติปัญญา ทำดีได้ดี เราทำคุณงามความดีของเรา ทำคุณงามความดีของเรา สิ่งที่เป็นคุณงามความดีจิตใจมันจะพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ

ดูสิ คนที่มาวัดใหม่ๆ สิ่งนี้มาด้วยความบากบั่น ลำบากไปหมด แต่ถ้าคนมันทำคุ้นชินไปแล้ว มันทำบ่อยครั้งเข้าๆ เวลามาวัดอยากจะมาอยู่วัดอยู่วา อยู่วัดอยู่วาเพื่อความสงบสงัดไง เวลาออกไปโลกมันคลุกคลี มันมีแต่ความเร่าร้อน เข้าไปอยู่ที่ความสงบสงัด เข้าไปอยู่ที่หลีกเร้น ที่หลีกเร้น นี่ไงแล้วเขาก็บอกว่าความดีอะไร มานั่งเฉยๆ เป็นความดีอะไร พวกนี้มีเวลาว่างมากเกินไป เราทำมาหากินขนาดนี้ยังไม่พอกินเลย พวกนี้ทำไมมันพอกิน

เขาพอกิน เขาพอกินเพราะเขาหามา ปัจจัยเครื่องอาศัยเขามาให้ร่างกายนี้กิน เขาไม่ได้หามาให้กิเลสกิน เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันกว้านมาสะสมไว้มันใช้แค่ไหน มันไม่มีวันจบวันสิ้นหรอก เวลาถ้ากิเลสตัณหามันจะเอาโลกนี้ไม่พอความต้องการของมัน แต่คนที่มีสติปัญญานะ เราหามาเราเจือจาน เราหามามันเป็นปัญญามันเหลือกิน มันเหลือกิน

พอเหลือกินเพราะร่างกายมันก็เท่านี้แหละ อาหารมันก็กินมื้อเดียวเท่านั้นแหละ ถ้ากินมื้อเดียวมันก็แค่นี้ แต่สิ่งที่เหลือเราสร้างประโยชน์ สร้างประโยชน์เพราะอะไรล่ะ เพราะไปแย่งชิงกับกิเลสมันมาไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันยึดว่าของมันๆ มันให้ใครไม่ได้ ศักดิ์ศรีของมันไง แต่ถ้ามีสติปัญญามันจะสละของมันๆ ความดีมันเกิดขึ้นเรื่อยๆ ทำดีได้ดี

ดูสิ เวลาเราแสวงหามานะเพื่อเสียสละทาน เสียสละเป็นอามิส มันเป็นความทุกข์ความยากไหม ความทุกข์ความยาก ครูบาอาจารย์เราท่านแสดงธรรมๆ ท่านให้ธรรมะเป็นทาน ให้สติ ให้ปัญญานะ เริ่มต้นคนทุกข์คนยากเราก็ให้เขาอยู่ให้เขากิน ปัจจัยเครื่องอาศัยเราต้องให้เขาอยู่ได้ แต่ถ้าเขาอยู่ได้แล้วก็ต้องให้อาชีพเขา ให้ปัญญาเขา ให้เขาแสวงหาได้

นี่ก็เหมือนกัน ฟังธรรมๆ ฟังธรรมให้หัวใจมันเข้มแข็งไง ให้หัวใจมันยืนขึ้นมาได้ไง หัวใจมันล้มลุกคลุกคลานไง หัวใจเราๆ จะอยู่ที่ไหนมันก็ชื่นบาน จะอยู่ในป่าในเขา จะอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ถ้าจิตใจมันรักษาไว้ดีแล้วมันดีตลอดไป ถ้ามันดีตลอดไปมันดีเพราะอะไร เพราะมันมีสติ มันมีสมาธิ มันมีปัญญา ถ้ามันขาดสติมันก็ลุ่มหลงไปกับกิเลสนั่นแหละ กิเลสมันก็ครอบงำอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะมันมีสติขึ้นมามันจะยับยั้งได้ มันถึงเป็นสมาธิได้ มันถึงวางได้ พอวางได้แล้วเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญามันแยกแยะขึ้นมา ถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมาปัญญามันเข้ามาชำระล้างของมัน

ถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมาอย่างนี้ นี่ไงให้ชีวิตเขา ให้อาชีพเขา ให้ต่างๆ แสดงธรรมก็เพื่อเรา ถ้าเรามีสติ มีปัญญา มีกำลังขึ้นมา ปัญญาทางโลก ปัญญาทางโลกเขาเรียกว่าโลกียปัญญา โลกียปัญญามันต้องเสริมด้วยอำนาจวาสนา ถ้าใครมีอำนาจวาสนาทำสิ่งใดมันจะสมเหตุสมผลตลอดไป คนเรามีปัญญามากกว่านั้นอีก จะทำอะไรขาดๆ เกินๆ ตลอดไปเลย นั่นเพราะอำนาจวาสนาของเขา อำนาจวาสนามาจากไหนล่ะ อำนาจวาสนามาจากการกระทำไง แล้วเราทำมาขนาดนี้เราจะมาประพฤติปฏิบัติอย่างไร

เราปฏิบัติ ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด การปฏิบัติทำให้เกิดสติ ให้เกิดปัญญา การปฏิบัติ การนั่งสมาธิ ไอ้โง่ๆ เซ่อๆ นั่งสมาธิไป ถ้าสมาธิมันมีขึ้นมามันจะฉลาดขึ้น ไม่โง่ๆ เซ่อๆ หรอก คนโง่ๆ เซ่อๆ ทำสมาธิไม่ได้ คนโง่ๆ เซ่อๆ เอาตัวชนะตัวเองไม่ได้ คนโง่ๆ เซ่อๆ ทำอะไรจะผิดพลาดไปหมดแหละ ความผิดพลาดจากข้างนอกและความผิดพลาดจากข้างใน ข้างนอกเป็นวัตถุหยิบต้องสิ่งใดมันยังขาดตกบกพร่อง แล้วอารมณ์ความรู้สึกมันละเอียดกว่านั้น มันอยู่ในหัวใจมันละเอียดกว่านั้น มันอยู่กับเราอย่างนั้น

ดูสิ เราทำหน้าที่การงานเราต้องมีงานทำขึ้นมา เราต้องหยิบฉวยวัตถุขึ้นมาถึงเป็นการงานขึ้นมา เวลาคิดงานๆ ก็คิดด้วยสมองไง แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันเป็นนามธรรมมันละเอียดกว่านั้น ถ้าละเอียดกว่านั้น ถ้ามีสติปัญญามันจะไปดูแลรักษากันอย่างไร ถ้ามันดูแลรักษาอย่างนั้นแล้ว ถ้ามันรักษาหัวใจของมันได้แล้ว กิริยาภายนอกอีกเรื่องหนึ่งแล้ว กิริยาภายในอยู่ที่ไหนมันก็สงบระงับของมัน ถ้าสงบระงับของมันมันมีปัญญาควบคุม ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาที่ควบคุมอย่างนั้น เขาว่าทางโลกๆ เรื่องวิชาชีพโลกียปัญญาๆ ถ้าโลกุตตรปัญญาล่ะ

โลกุตตรปัญญา เวลามันคิดขึ้นมา เราขาดตกบกพร่องแล้วล่ะ เราทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์แล้วล่ะ ถ้าเราทำหน้าที่สมบูรณ์เราต้องรีบไปทำงานของเรา เวลากิเลสมันยุ ถ้าสติปัญญามันทัน หน้าที่อย่างนั้นทำมาทุกภพทุกชาติ ไอ้หน้าที่อย่างนั้นเราก็ทำมาแล้ว เราต้องออกไปทำหน้าที่การงานเราจะไม่ขาดตกบกพร่อง เดี๋ยวคนเขาจะว่าเราเป็นคนเห็นแก่ตัว เวลามานั่งสมาธิ ภาวนาขึ้นมาเป็นคนเห็นแก่ตัว หน้าที่การงานอะไรก็ไม่ทำ

นั่นล่ะไอ้ที่มันคิดอยู่นั่นคือการกระทำ ไอ้ที่มันคิดอยู่กิเลสมันยุแล้ว แต่ถ้ามีสติปัญญา หน้าที่การงานอย่างนี้เราก็ทำมาพอแรงแล้ว กี่ภพกี่ชาติทำมาตลอดแล้ว ไอ้ชาตินี้ก็ทำมาพอแรงแล้ว ถ้ามันดีมันก็ดีไปแล้ว สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ที่มันตั้งอยู่ มันกำลังล้มลุกคลุกคลานอยู่มันเกิดขึ้นธรรมดาแล้วเรามีอำนาจวาสนาเราถึงได้ศึกษา เราถึงได้ค้นคว้า เราถึงได้จะมาทำงานภายในของเรา ถ้างานภายในเขาเรียกอัตตสมบัติจะเป็นงานของเรา ดูสิ คนเราที่มีปัญญา มีสมอง คนคิดดีมีปัญญามันอยู่ในสมองเขา มันอยู่ในสมองเขา มันมีประสบการณ์ของเขา มันเรื่องภายในของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เราหาอัตตสมบัติของเรา อัตตสมบัตินี้เวลาจิตมันตั้งอยู่ จิตมันรับรู้มันซับของมันไป เวลาถ้ามันตายไป หลวงตาท่านนิพพานท่านเสียชีวิต ท่านบอกว่าห้ามสวดมนต์ให้ท่าน ห้ามทำสิ่งใดให้ท่าน แต่เวลาทำกิจกรรมในวัดนั้นมันเป็นการระลึกถึงลูกศิษย์กับครูบาอาจารย์ทำต่อกัน ท่านบอกท่านทำของท่านไว้เต็มแล้ว ท่านทำของท่านไว้พอแล้ว ไม่ต้องใครมาทำให้ท่าน ไม่ต้องมากุสลาธัมมา อกุสลาธัมมาไม่ต้อง ไม่ต้องมาสอน ไม่ต้องมาบอก ไม่ต้องมาชี้นำทั้งนั้น ท่านทำมาสมบูรณ์แล้ว

นี่ก็เหมือนกัน เราเวลาประพฤติปฏิบัติของเรา เราทำให้ใจเราสมบูรณ์ ถ้าใจเราสมบูรณ์ขึ้นมา เราทำขึ้นมา อัตตสมบัติ สมบัติภายในของเราเราทำเอง ล้มลุกคลุกคลานเราก็ล้มลุกคลุกคลานมาเอง จิตมันตั้งมั่นได้มันก็ตั้งมั่นได้เอง เวลามันยกขึ้นสู่ปัญญาไม่ได้มันก็เจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อม เวลามันยกขึ้นสู่ปัญญาได้ ปัญญาพิจารณาไปแล้วมันปล่อยวางเป็นตทังคปหาน ตทังคปหานถ้าพลั้งเผลอไปเดี๋ยวกิเลสมันก็กลับมา ตีกลับมาอีก แล้วถ้าตีกลับมาเราก็กลับมาทำความสงบของใจให้มากขึ้น แล้วเราใช้ปัญญาของเราไป มันมีองค์ความรู้ มันมีการกระทำ มันมี

นี่ไงสิ่งที่สัมผัสธรรมได้ๆ คือหัวใจของสัตว์โลก หัวใจของสัตว์โลกโดนกิเลสมันย่ำยีเหยียบย่ำ เวลาสัตว์โลก หัวใจโดนมันเหยียบย่ำมันมีแต่ความทุกข์ มันมีแต่ความเผาลนทุกคนรู้ได้ แต่เวลาเกิดศีลธรรมขึ้นมา เกิดสมาธิขึ้นมาไม่มีใครรู้ได้ ไม่มีใครสัมผัสได้ แต่ถ้าใครสัมผัสได้ คนที่สัมผัสได้เขาปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ปัจจัตตังเขาจะระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นักบวชผู้ใด ดูสิ หลวงตาท่านเคารพหลวงปู่มั่นมากๆ เพราะท่านเรียนจบถึงเป็นมหา เวลาจะออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมานิพพานก็มีอยู่แล้ว ทุกอย่างก็มีอยู่แล้ว แต่มันมีจริงหรือเปล่า ถ้ามีบุคคลคนใดคนหนึ่งชี้ทางให้เราได้ เป็นคนที่บอกเราได้เราจะถือบุคคลคนนั้นเป็นครูบาอาจารย์ของเรา เราจะสละชีวิตเพื่ออาจารย์องค์นั้น แล้วหลวงปู่มั่นท่านก็ชี้นำของท่าน ท่านพยายามประพฤติปฏิบัติของท่านขึ้นไป องค์ความรู้มันเกิดขึ้นมาๆ

ครูบาอาจารย์ของเราถ้าประพฤติปฏิบัติแล้วมันจะเคารพครูบาอาจารย์ไง เคารพผู้ชี้นำไง แต่ของเราศึกษาแล้วๆ เราก็มีความรู้ ความรู้ให้กิเลสมันเอามาใช้ไง กิเลสมันบังเงาไง เวลาอ้างธรรมะก็ว่างๆ ว่างๆ มันก็สร้างลมว่าง มันสร้างมา มันว่างๆ ปฏิบัติแล้วมันสะดวกสบาย สะดวกสบายปากเปียกปากแฉะคุยแต่ธรรมะ คุยแต่สัจธรรม คุยเพื่อเอาชนะคะคานกัน คุยเพื่อจะเหยียบย่ำกันไง

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้ามันรู้จริงขึ้นมาเขาเงียบ เขาเงียบ เพราะความรู้อย่างนั้น ความรู้จริงพูดออกไปไม่มีใครรู้ได้ ถ้าเขาไม่ประพฤติปฏิบัติมีความจริงขึ้นมาในใจของเขา เขาจะอธิบายขนาดไหนก็รู้ไม่ได้ ถ้ารู้ได้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการเป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศนาว่าการอนุปุพพิกถา คนที่เขายังทำไม่ได้ให้เขาเสียสละทาน

อนุปุพพิกถาคือทาน เนกขัมมะ สวรรค์ แล้วออกประพฤติพรหมจรรย์ การออกประพฤติพรหมจรรย์ จิตของเขาละเอียดอ่อนพร้อมควรแก่การงานแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงแสดงอริยสัจ พร้อมควรแก่การงานมันรู้สำนึกตนไง มันสำนึกตน มีตัวมีตน มีสัมมาสมาธิ มีเราเป็นผู้วินิจฉัย แต่ถ้ามันไม่มีความสำนึกมันเป็นสมองไง มันเป็นสัญชาตญาณไง สัญชาตญาณของสัตว์ สัตว์มันมีปัญหาขึ้นมามันใช้สัญชาตญาณของมันแก้ไขของมัน สัญชาตญาณของมันมันเอาตัวของมันรอด

สัญชาตญาณ มันมีสัญชาตญาณเท่านั้น เพราะยังไม่เห็นใจของตัว เพราะยังไม่เห็นใจของตัวมันถึงไม่เห็นความสำคัญของศีล สมาธิ ปัญญา ไปเห็นความสำคัญของวัตถุ ไปเห็นความสำคัญของโลกธรรม ๘ ไปเห็นความสำคัญของคนเคารพนับหน้าถือตา ไปเห็นความสำคัญของคนที่ไปเยอะๆ ไปที่ไหนมีแต่กระแสสังคม ไปสนใจกันตรงนั้นไง

ตรงนั้นเพราะจิตมันส่งออก ตัวมันเองไม่รู้จักตัวมันเอง ตัวมันเองตั้งตัวไม่ได้ ตัวมันเองไม่มีความสามารถไง แต่ถ้าจิตมันสงบเข้ามานะ เวลาในวิสุทธิมรรค ที่ไหนมีการคลุกคลีไม่ไป ที่เป็นท่าน้ำก็ไม่ไป วัดสร้างใหม่ก็ไม่ไป ถ้ามีไม่ควรไป สิ่งที่คลุกคลีแม้แต่ต้นไม้ที่เป็นต้นไม้ผลก็อย่าไป เพราะว่าต้นไม้ผลนั้นมันจะดึงให้คนเขามาเอาผลมัน หรือนกกามันจะหาอาหารมัน มันทำให้การประพฤติปฏิบัตินี้ไม่สะดวก

ถ้าคนเป็นมันหาอย่างนั้น หาที่ความสงบ หาที่ความระงับ ครูบาอาจารย์ของเราท่านว่าอยู่ป่าๆ เขาไปอยู่ป่ากันเขาหาความสงบความสงัดกัน แต่มันเป็นสูตรสำเร็จใช่ไหม ในเมื่อจิตใจเรายังไม่สงบเราก็ไปอยู่ป่าๆ กัน ไปอยู่ป่าก็ไปสร้างป่าเป็นเมืองกันไง ไปสร้างป่าวิจิตรพิสดารเลยล่ะ แล้วเอ็งไปทำไมล่ะ ทำไมต้องไปสร้างอย่างนั้นล่ะ ไม่ต้องไปสร้าง อยู่ในป่าเขาต้องการความสงบสงัดเราก็ไปอาศัยสิ่งนั้นไง ไปอาศัยข้อเท็จจริงมันสงบสงัด แล้วใจเราสงัดไหมล่ะ

พอเข้าไปอยู่ในป่ามันคิดแล้ว นู่นก็ยังไม่มี นี่ก็ยังไม่มี ไอ้นั่นก็ยังไม่ได้เอามา ขาดแคลนไปหมดเลย อย่างนั้นเอ็งอยู่วัดซะก็จบมาทำไม ก็มาอยู่ป่าเพื่อความสงบสงัดไง ถ้าสงบสงัด ถ้าจิตมันสงบมันเข้ามาได้ อาศัยสิ่งนั้น ถ้ามันเป็นความจริงครูบาอาจารย์ท่านสอนเพื่อให้ฝึกหัดให้หัวใจท่านเป็น แต่เรายังไม่เป็นเราเข้าไปอยู่ป่า ไปอยู่ป่าเราก็ไปสร้างเมืองกันในป่า ปิกนิกในป่า ไปปิกนิกไม่ได้ไปธุดงค์ เขาไปธุดงค์เขาไปเพื่อความขาดแคลน ไปเพื่อความดูแลหัวใจ ไอ้นี่ไปขนไปเต็มที่เลย มันจะไปปิกนิกกัน มันจะไปนอนป่า

เวลาคิดไง มันเป็นสูตรสำเร็จไง เพราะเป็นสูตรเราก็จะทำให้มันครบสูตรไง แต่มันไม่เป็นความจริง ความจริงเข้าไปนะมีกลด มีบาตรไปแล้ว เสี่ยงทายอำนาจวาสนา ถ้าบิณฑบาตได้ก็ได้ ถ้าไม่ได้บิณฑบาตก็กินลม ๕ วัน ๗ วันไม่ตายอยู่แล้ว ๗ วันสบายมากไปของเรา ไปหาความสงบสงัดไง นั่นล่ะมันฝึกตน ไปเพื่อฝึกตน ไม่ใช่ไปเป็นสูตรสำเร็จไง เขาเป็นสูตร ไปตามสูตร แล้วให้มันได้ขึ้นมา แล้วมันไม่ได้อะไรเลย

เวลาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เวลาตั้งอยู่ทำให้มันถูกต้อง ถ้าถูกต้องดีงามขึ้นมามันก็จะเป็นความจริง เวลาตั้งอยู่มันตั้งอยู่บนอะไร ตั้งอยู่บนกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตัว ตั้งอยู่บนคาดหมายของตัว ตั้งอยู่บนโลกธรรม ๘ แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเกิดมรรค เกิดผลขึ้นมา มันไม่สั่น ไม่หวั่นไม่ไหวไปกับอะไรทั้งสิ้น มันมีของมันตามความเป็นจริงของมัน ธรรมะอยู่ดั้งเดิม เพราะใจมันรู้ดั้งเดิมมันก็วางไว้ มันดั้งเดิม ดั้งเดิมก็บังเงา พูดธรรมะปากเปียกปากแฉะ แต่ไม่มีข้อเท็จจริงในหัวใจแม้แต่น้อย เรามาประพฤติปฏิบัติกันเราเอาจริงที่นี่ไง

ฉะนั้น เวลาล้มลุกคลุกคลานต้องล้มลุกคลุกคลาน ผลไม้มันต้องมีเปลือกมันมา ถ้าไม่มีเปลือกมาผลไม้นั้นก็เน่าเสีย อำนาจวาสนาประเพณีวัฒนธรรมมันก็เป็นเปลือกของมัน เราก็พยายามทะลุเปลือกมันเข้าหาใจของเราให้ได้ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาก็หาหัวใจของเรา ถ้าได้หาหัวใจของเราแล้ว เปลือก เปลือกวางไว้เลย ผลไม้ผิวมันสวย ผิวมันไม่สวยนั่นเขาไม่ได้กินมัน เขากินเนื้อหาสาระ

นี่ก็เหมือนกัน ประพฤติปฏิบัติเอาข้อเท็จจริง แต่มันก็ประเพณีวัฒนธรรมเพราะมันเข้าไปจากสัญชาตญาณ เข้าไปจากเปลือกนี่แหละ เข้าไปจากตัวตนของเรานี่แหละ ฉะนั้น เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาสิ่งที่เราทำของเรา แต่เราจะเอาเนื้อมัน เอาเนื้อผลไม้นั้น เอารสหวานนั้น เอาสิ่งที่เป็นประโยชน์นั้น แต่เปลือกก็คือตัวตนของเรา เปลือกก็คือความคิดของเรา แต่ธรรมะมันเหนือนั้นเข้าไปสู่ที่นั่น ฟังธรรมๆ เพื่อเตือนหัวใจของตัว แล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงของเราขึ้นมา ให้เป็นอัตตสมบัติ ไม่ต้องใครทำให้

หลวงตาท่านจะเสียท่านบอกว่าอย่าสวดมนต์ให้เรานะ อย่ามาติกาไม่ต้องๆๆ ท่านทำของท่านพร้อม ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ท่านเป็นหลัก แต่ว่าเราจะไม่มีอำนาจวาสนาขนาดนั้นเราก็ทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรา ให้มีอัตตสมบัติ ให้เป็นสมบัติของเรา เอวัง